ค้นหา
  
Search Engine Optimization Services (SEO)

สนธิสัญญาแวร์ซาย (1919)

สนธิสัญญาแวร์ซาย (อังกฤษ: Treaty of Versailles) เป็นสนธิสัญญาสันติภาพที่จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1919 ณ พระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและจักรวรรดิเยอรมัน ซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนกลุ่มประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลางอื่น ๆ ได้มีการตกลงยกเลิกสถานภาพสงครามด้วยสนธิสัญญาฉบับอื่น แม้จะได้มีการลงนามสงบศึกตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 แล้วก็ตาม การประชุมสันติภาพที่กรุงปารีสกินเวลานานกว่าหกเดือน จึงได้มีการสรุปสนธิสัญญาฯ

ผลจากสนธิสัญญาฯ ได้กำหนดให้จักรวรรดิเยอรมันต้องยินยอมรับผิดในฐานะผู้ก่อสงครามแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้ข้อตกลงข้อ 231 (ในภายหลังรู้จักกันว่า "อนุประโยคความรับผิดในอาชญากรรมสงคราม") และในข้อ 232-248 เยอรมนีถูกปลดอาวุธ ถูกจำกัดอาณาเขตดินแดน รวมไปถึงต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่กลุ่มประเทศฝ่ายไตรภาคีเป็นจำนวนมหาศาล เมื่อปี ค.ศ. 1921 ได้ประเมินว่ามูลค่าของค่าปฏิกรรมสงครามที่เยอรมนีจะต้องจ่ายนั้นสูงถึง 132,000 ล้านมาร์ก (ราว 31,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 6,600 ล้านปอนด์) อันเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าจะยอมรับได้และไม่สร้างสรรค์ และเยอรมนีอาจต้องใช้เวลาชำระหนี้จนถึง ค.ศ. 1988 การชำระค่าปฏิกรรมสงครามนัดสุดท้ายมีขึ้นเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2010 วันครบรอบยี่สิบปีการรวมประเทศเยอรมนี และเก้าสิบสองปีพอดีหลังสงครามยุติ

สนธิสัญญาดังกล่าวได้ถูกบ่อนทำลายด้วยเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นภายหลังปี ค.ศ. 1932 จนกระทั่งร้ายแรงขึ้นเมื่อคริสต์ทศวรรษ 1930 การแก่งแย่งและเป้าหมายที่ขัดแย้งกันเองของฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงครามทำให้ไม่มีฝ่ายใดพอใจผลการประนีประนอมที่ได้มาเลย การที่ฝ่ายสัมพันธมิตรไม่รื้อฟื้นความสัมพันธ์หรือทำให้เยอรมนีอ่อนแออย่างถาวร ทำให้สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นปัจจัยหลักซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งในภายหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามโลกครั้งที่สอง

เป้าหมายของฝรั่งเศสเน้นไปทางการแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยจากการรุกรานของเยอรมนี จากการรบบนแนวรบด้านตะวันตก ฝรั่งเศสสูญเสียทหารไปราว 1.5 ล้านนาย รวมไปถึงพลเรือนอีกกว่า 400,000 คน สงครามได้สร้างความเสียหายแก่ฝรั่งเศสพอ ๆ กับเบลเยี่ยม นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส จอร์จส์ คลูมองโซ ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนในการล้างแค้นเยอรมนี โดยต้องการให้เยอรมนีกลายเป็นอัมพาต ทั้งทางการทหาร เศรษฐกิจและการเมือง

เจตนาของคลูมองโซนั้นชัดเจนและเรียบง่าย นั่นคือ กองทัพของเยอรมนีต้องไม่ถูกทำให้อ่อนแอเพียงช่วงเวลาหนึ่ง แต่ต้องทำให้อ่อนแออย่างถาวรจนกระทั่งไม่สามารถทำการรุกรานฝรั่งเศสได้อีก นอกจากนี้ เขายังต้องการให้มีการทำลายเครื่องหมายของลัทธินิยมทหารของจักรวรรดิเยอรมันเดิม เช่นเดียวกับความต้องการปกป้องสนธิสัญญาลับและเรียกร้องให้ขยายการปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนีต่อไปอีก เพื่อให้ฝรั่งเศสสามารถควบคุมสินค้าเข้าและสินค้าออกของประเทศผู้แพ้สงคราม คลูมองโซนั้นเป็นบุคคลที่รุนแรงที่สุดในกลุ่มผู้นำทั้งสี่ จนได้รับฉายา "Tigre" (เสือ) ด้วยเหตุผลดังกล่าว

จอร์จส์ คลูมองโซแห่งฝรั่งเศสต้องการค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีเพื่อฟื้นฟูความมั่งคั่งของประเทศที่ได้รับความเสียหายและเห็นว่าการเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามนั้นจะเป็นการทำให้เยอรมนีอ่อนแอลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปรารถนาที่จะเอาแคว้นอัลซาซ-ลอร์เรน ซึ่งถูกฉีกออกไปจากฝรั่งเศสนับตั้งแต่สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ค.ศ. 1871 กลับคืน หรือถ้าเป็นไปได้ก็แสวงหาแม่น้ำไรน์เป็นพรมแดนธรรมชาติติดกับเยอรมนี

นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เดวิด ลอยด์ จอร์จ ได้สนับสนุนการเรียกเก็บค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีเช่นเดียวกัน แต่ในขอบเขตที่น้อยกว่าการเรียกร้องของฝรั่งเศส อังกฤษเพียงแต่วางแผนที่จะฟื้นฟูสถานะของเยอรมนีให้เป็นประเทศคู่ค้าของอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้น เขายังกังวลกับข้อเสนอของวิลสันเกี่ยวกับการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง และต้องการปกปักรักษาผลประโยชน์ของประเทศของตน ซึ่งเหมือนกับฝรั่งเศส โดยสภาพดังกล่าวนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันระหว่างประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกสองแห่ง ซึงได้มีส่วนในการรบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน เดวิด ลอยด์ จอร์จก็เป็นผู้นำอีกคนหนึ่งซึ่งสนับสนุนการปิดล้อมทางทะเลกับเยอรมนีและสนธิสัญญาลับ

ยังมีคำกล่าวบ่อย ๆ ว่าลอยด์ จอร์จเดินทางสายกลางระหว่างข้อเสนออันเพ้อฝันของวิลสันและข้อเสนอพยาบาทของคลูมองโซ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอของเขานั้นเป็นข้อเสนอที่แสนบอบบางกว่าที่ปรากฏในตอนแรก มหาชนชาวอังกฤษต้องการให้เกิดการลงโทษเยอรมนีให้หนักเหมือนกับข้อเสนอของฝรั่งเศส เพื่อให้รับผิดชอบต่อผลของสงครามที่เกิดขึ้น และได้สัญญาไว้เช่นสนธิสัญญาการเลือกตั้ง ค.ศ. 1918 ซึ่งลอยด์ จอร์จได้รับชัยชนะ นอกจากนั้นยังมีการบีบคั้นจากพรรคอนุรักษนิยม ในความต้องการแบบเดียวกันกับชาวอังกฤษ เพื่อปกปักรักษาจักรวรรดิอังกฤษ

นับตั้งแต่สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 สหรัฐอเมริกาก็ต้องการให้สงครามยุติลงโดยเร็วที่สุดโดยที่ไม่มีผู้แพ้และผู้ชนะ ก่อนสงครามยุติ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน ได้ผลักดันให้ข้อเสนอหลักการสิบสี่ข้อ ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าความต้องการอังกฤษและฝรั่งเศส ให้เป็นจุดมุ่งหมายทำสงครามของสหรัฐอเมริกา มหาชนชาวเยอรมันคิดว่าสนธิสัญญาสันติภาพควรจะมีเงื่อนไขออกมาประมาณนี้ ซึ่งทำให้พวกเขามีความหวัง แต่ทว่าหลักการดังกล่าวไม่เคยประสบผลเลย

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กลุ่มประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรได้มีการลงนามในสัญญาลับจำนวนหนึ่งเพื่อสนับสนุนกันและกันตามความต้องการ โดยได้มีการนำเอาดินแดนต่าง ๆ เข้ามาเป็นรางวัลเพื่อแลกกับการเข้าร่วมรบกับฝ่ายตน ซึ่งมีทั้งรัสเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น เป็นต้น แต่เมื่อสงครามยุติลง ปรากฏว่าประเทศที่เข้าร่วมสงครามไม่ได้รับดินแดนตามที่เคยสัญญากันไว้ อันก่อให้เกิดปัญหาในการประชุมร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย และความตึงเครียดหลังสงคราม นอกจากนี้ ฝ่ายสัมพันธมิตรยังได้ขัดแย้งกับหลักการสิบสี่ข้อของวิลสัน เนื่องจากกลุ่มประเทศเหล่านี้มีความต้องการแสวงหาดินแดนเพิ่มเติมอีก

การเจรจาระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม 1919 ในอาคาร Salle de l'Horloge ของกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส โดยเริ่มจากการประชุมของคณะผู้แทน 70 คนจาก 26 ประเทศมีส่วนร่วมในการประชุม ส่วนเยอรมนี ออสเตรียและฮังการีผู้แพ้สงครามถูกยกเว้นไม่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม สหภาพโซเวียตก็ถูกห้ามมิให้เข้าประชุมด้วย เนื่องจากได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพแยกต่างหากกับเยอรมนีแล้วใน ค.ศ. 1917

จนกระทั่งถึงเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919 บทบาทที่สำคัญที่สุดของการเจรจา ความซับซ้อนและเงื่อนไขอันยุ่งยากของสันติภาพอยู่ระหว่างการประชุมของ "สภาสิบ" ซึ่งประกอบด้วยบุคคลสำคัญจาก 5 ประเทศผู้ชนะสงครามหลักเท่านั้น (สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร อิตาลี ญี่ปุ่น) ด้วยรูปร่างแปลกประหลาดอันไม่เหมาะสมและไม่เป็นทางการในการตัดสินใจของที่ประชุม ญี่ปุ่นจึงได้ถอนตัวออกจากการประชุมหลัก จึงเหลือเพียง "สี่มหาอำนาจ" เท่านั้น ต่อมาภายหลัง อิตาลีก็ได้ถอนตัวจากการประชุมเช่นกัน (กลับมาเซ็นสัญญาในเดือนมิถุนายนเพียงชั่วคราวเท่านั้น) ทำให้การครอบครองฟิอูเม (ปัจจุบัน คือ ริเจกา) ถูกปฏิเสธ ดังนั้น เงื่อนไขสุดท้ายของฝ่ายสัมพันธมิตรจึงเหลือเพียง "สามมหาอำนาจ" เท่านั้น คือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ส่วนทางด้านเยอรมนีนั้นถูกห้ามมิให้เข้าร่วมประชุม ในการเจรจาดังกล่าวนั้น เป็นการยากที่จะตัดสินใจในฐานะธรรมดาเนื่องจากว่าเป้าหมายของแต่ละประเทศแตกต่างกัน ซึ่งสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็น "การประนีประนอมอย่างไม่มีความสุข"

ตามที่ได้ระบุไว้ในส่วนที่ห้าของสนธิสัญญาแวร์ซายว่า "ในความพยายามที่จะเริ่มต้นการจำกัดอาวุธของนานาประเทศนั้น เยอรมนีจำเป็นต้องยอมรับและปฏิบัติตามอย่างเข้มงวด ซึ่งปริมาณของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศจะต้องเป็นไปตามที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้"

จากสนธิสัญญาแวร์ซาย ได้กำหนดให้เยอรมนีสูญเสียอาณานิคมทั้งหมด รวมไปถึงดินแดนบางส่วนของแผ่นดินแม่ โดยดินแดนที่สำคัญ ได้แก่ ดินแดนปรัสเซียตะวันตก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง และยังต้องสูญเสียฉนวนโปแลนด์และทางออกสู่ทะเลบอลติก นับตั้งแต่ผลของการแบ่งโปแลนด์ และทำให้แคว้นปรัสเซียตะวันออกถูกกีดกันออกไปจากแผ่นดินเยอรมนีเป็นดินแดนแทรก

ตามข้อที่ 156 ของสนธิสัญญา ได้กำหนดให้สัมปทานของเยอรมนีในมณฑลชานตงของจีนต้องถูกโอนให้แก่ญี่ปุ่น แทนที่จะถูกโอนกลับมาให้อยู่ภายใต้การปกครองของจีน ชาวจีนจึงจัดการเดินขบวนต่อต้านครั้งใหญ่ ที่เรียกว่า ขบวนการ 4 พฤษภาคม (อังกฤษ: May Fourth Movement) และส่งผลกระทบให้จีนไม่ร่วมลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว จีนได้ประกาศยุติสงครามกับเยอรมนีในปี ค.ศ. 1919 และลงนามในสนธิสัญญาแยกต่างหากกับเยอรมนีในปี ค.ศ. 1921

ตามข้อที่ 231 ของสนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้เยอรมนีต้องรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้เริ่มสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และได้กำหนดค่าปฏิกรรมสงครามที่เยอรมนีจำเป็นต้องจ่ายให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร โดยฝ่ายสัมพันธมิตรได้เรียกร้องเอาทองคำจากเยอรมนีเป็นมูลค่า 226,000 ล้านไรซ์มาร์ก (หรือ 11,300 ล้านปอนด์) ซึ่งเป็นจำนวนที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการค่าปฏิกรรมสงครามของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ในปี ค.ศ. 1921 ถูกปรับลดลงมาเหลือ 132,000 ล้านไรซ์มาร์ก (หรือ 4,990 ล้านปอนด์)

การเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามจากเยอรมนีส่วนหนึ่งนั้นเป็นการแก้แค้นของฝรั่งเศส เนื่องจากผลของสนธิสัญญาแฟรงเฟิร์ตเมื่อปี ค.ศ. 1871 ที่ได้ลงนามหลังจากสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ซึ่งฝรั่งเศสจำเป็นต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้แก่เยอรมนีมากพอ ๆ กัน ขณะที่แผนการยัง ในปี ค.ศ. 1929 ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ของเยอรมนี ซึ่งจะหมดอายุเมื่อปี ค.ศ. 1988

การชดใช้หนี้ตามที่ระบุในสนธิสัญญาแวร์ซายได้อยู่ในหลายรูปแบบ อย่างเช่น ถ่านหิน เหล็กกล้า ทรัพย์สินทางปัญญา และผลผลิตทางการเกษตร เนื่องจากการคืนเงินในรูปของสกุลเงินจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ซึ่งได้เกิดขึ้นในเยอรมนีในปี ค.ศ. 1920 และเป็นการลดผลประโยชน์ที่ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรจะได้รับ ที่ประชุมนานาชาติแห่งปี ค.ศ. 1953 กำหนดให้รัฐบาลเยอรมนีชำระหนี้ให้หมดภายในปี ค.ศ. 2020

ในส่วนที่หนึ่งของสนธิสัญญาแวร์ซายได้กล่าวถึงกติกาของสันนิบาตชาติ ซึ่งได้นำไปสู่การก่อตั้งสันนิบาตชาติ อันเป็นองค์การระหว่างประเทศโดยมีจุดประสงค์ที่จะขจัดความขัดแย้งระหว่างประเทศ และหลีกเลี่ยงสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนที่สิบสามของสนธิสัญญาแวร์ซาย ก็ได้เป็นจุดกำเนิดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ โดยมีความพยายามที่จะกำหนดจำนวนชั่วโมงทำงานต่อวัน รวมไปถึงการกำหนดเพดานวันและเวลางานสูงสุด การกำหนดการบรรจุแรงงาน และการป้องกันการว่างงาน การกำหนดอัตราค่าจ้างให้เพียงพอต่อค่าครองชีพ การดูแลรักษาแรงงานจากอาการป่วยและบาดเจ็บ การป้องกันการใช้แรงงานเด็ก สตรี ผู้สูงอายุและผู้บาดเจ็บ การกำหนดผลประโยชน์ของแรงงานเมื่อไม่ได้รับความร่วมมือและการอบรมจากประเทศที่ได้รับการบรรจุ รวมไปถึงมาตรการที่เกี่ยวข้อง และยังได้มีความพยายามที่จะจัดตั้งคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศขึ้นเพื่อดูแลดินแดนแถบแม่น้ำเอลเบ แม่น้ำโอเดอร์ แม่น้ำเนอเมนและแม่น้ำดานูบ

ประธานาธิบดีคลูมองโซแห่งฝรั่งเศสประสบความล้มเหลวที่ไม่อาจทำตามความต้องการของชาวฝรั่งเศสได้ และต้องพ้นตำแหน่งไปหลังจากการเลือกตั้งในเดือนมกราคม ค.ศ. 1920 ส่วนจอมพลแห่งฝรั่งเศส เฟอร์ดินานด์ ฟอก ได้แสดงความคิดเห็นออกมาว่า การจำกัดความสามารถของเยอรมนีนั้นเป็นความกรุณามากเกินไป "นี่ไม่ใช่สันติภาพ แต่เป็นสนธิสัญญาพักรบที่มีอายุยี่สิบปีเท่านั้น"

ตรงกันข้ามกับความคิดเห็นที่แตกต่างของเฮนรี่ คาบอด ลอดจ์ วุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ได้ลงมติปฏิเสธที่จะอนุมัติสนธิสัญญาดังกล่าว แม้ว่าจะมีการโต้วาทีครั้งสำคัญก็ตาม ประธานาธิบดีวิลสันได้ปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนแก่สนธิสัญญาแวร์ซายเช่นกัน ผลที่ตามมา คือ สหรัฐอเมริกามิได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของสันนิบาติชาติ แม้ว่าประธานาธิบดีวิลสันจะอ้างว่าเขาสามารถ "ทำนายด้วยความมั่นใจเกือบเต็มร้อยว่าในอีกชั่วอายุคนหนึ่งจะมีสงครามโลกเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าหากประชาชาติไม่ได้ประสานงานกันป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น"

เพื่อนของประธานาธิบดีวิลสัน ชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด แมนเดล เฮาส์ ได้เขียนไว้ในบันทึกส่วนตัวของเขาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 1919 ไว้ว่า:

"ผมกำลังออกจากกรุงปารีส หลังจากผ่านช่วงเวลาอันสำคัญนานแปดเดือนด้วยอารมณ์ที่สับสน เมื่อได้มองดูที่ประชุมในห้วงความทรงจำของผม มีหลายสิ่งที่น่ายินดีและหลายสิ่งที่น่าเสียใจ มันเป็นการง่ายมากที่จะกล่าวว่าอะไรควรจะเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่กลับหาทางที่จะลงมือทำอย่างแท้จริงได้ยากยิ่งนัก สำหรับผู้ที่คิดว่าสนธิสัญญานี้เป็นสิ่งที่เลวร้ายและไม่สมควรที่จะถือกำเนิดขึ้นมาเลย และบอกว่ามันจะมีผลเกี่ยวพันถึงทวีปยุโรปในความยุ่งยากไม่สิ้นสุดจากผลของมัน ผมจะมีความรู้สึกเห็นด้วยกับคนคนนั้น แต่ผมก็จะตอบแก่เขาว่าจักรวรรดิไม่สามารถถูกทำลายลงได้ และรัฐแห่งใหม่ที่เจริญขึ้นมาจากเศษซากของจักรวรรดิเก่าโดยปราศจากความไม่สงบ ความพยายามใด ๆ ที่จะสร้างเขตแดนแห่งใหม่ขึ้นย่อมหมายถึงการก่อปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่มีวันหมดสิ้น ขณะที่ผมควรจะหันไปทางสันติภาพที่แตกต่าง ผมก็สงสัยเป็นอันมากว่ามันจะทำได้จริงหรือ เพราะส่วนประกอบหลายอย่างที่ต้องการในการสร้างสันติภาพขึ้นมานี้ไม่ได้ปรากฏให้เห็นในกรุงปารีสแห่งนี้เลย"

หลังจากที่ผู้แทนของประธานาธิบดีวิลสัน วาร์เรน จี. ฮาร์ดิง ได้ทำการต่อต้านแนวคิดสันนิบาตชาติต่อไป วุฒิสภาได้ผ่านมติน็อกซ์-พอร์เตอร์ (อังกฤษ: Knox-Porter Resolution) ซึ่งเป็นการยุติสถานะสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและฝ่ายมหาอำนาจกลางอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1921

เมื่อวันที่ 29 เมษายน คณะผู้แทนเยอรมนีภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อูริก กราฟ วอน บรอกดอร์ฟฟ์-รันเซา ได้เดินทางมาถึงที่ประชุมแวร์ซาย ในวันที่ 7 พฤษภาคม เมื่อเขาได้เห็นเงื่อนไขที่ผู้ชนะกำหนดขึ้นมานั้น รวมไปถึง "อนุประโยคความผิดฐานเป็นผู้ริเริ่มสงคราม" แล้ว เขาได้ตอบแก่ผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรในที่ประชุมว่า "เราได้รับทราบถึงความเกลียดชังรุนแรงที่เราได้เผชิญ ณ ที่แห่งนี้ พวกท่านต้องการให้เรายอมรับว่าเราเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่ผิดในสงครามครั้งนี้ การยอมรับของข้าพเจ้าก็จะเป็นแค่เพียงคำโกหกเท่านั้น"

เพราะว่าเยอรมนีไม่มีส่วนใด ๆ ในการเข้าร่วมประชุม รัฐบาลใหม่ของเยอรมนีจึงยื่นคำร้องประท้วงต่อข้อเรียกร้องอันไม่เป็นธรรม และ "การทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศ" และยกเลิกการเดินหน้าการประชุมแวร์ซายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีเยอรมนีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง ฟีลิพพ์ ไชเดมันน์ ได้ปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายและถอนตัวออก และในวันที่ 12 มีนาคม ค.ศ. 1919 เขาได้เรียกสนธิสัญญาดังกล่าวว่าเป็น "แผนการสังหาร" และเปล่งเสียงออกมาว่า:

ภายหลังจากการถอนตัวของไชเดมันน์ รัฐบาลผสมใหม่ของเยอรมนีภายใต้การนำของ กุสตาฟ เบาเออร์ มีความจำเป็นที่จะต้องลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าว ที่ประชุมแห่งชาติไวมาร์ได้ลงคะแนนเสียง โดยคะแนนเสียงให้ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายชนะไป 237 ต่อ 138 เสียง รวมทั้งไม่ลงคะแนน 5 เสียง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เฮอร์มันน์ มึลเลอร์ และ โจฮานเนส เบล เป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญา สนธิสัญญาดังกล่าวได้รับการลงนามเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919 และได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมแห่งชาติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ด้วยคะแนนเสียง 209 ต่อ 116

พวกอนุรักษนิยม พวกชาตินิยม และนายทหารนอกประจำการได้เริ่มต้นการพูดคุยอย่างฉุกเฉินเกี่ยวกับสันติภาพ และพวกนักการเมือง พวกสังคมนิยม พวกคอมมิวนิสต์ และชาวยิวถูกจับตามอง เนื่องจากว่ามีความเห็นโอนเอียงไปหาต่างประเทศ รวมทั้งยังมีข่าวลือออกมาว่า พวกเขาเหล่านี้ไม่สนับสนุนสงคราม และขายชาติให้กับศัตรู สมาชิกขององค์การไซออนโลกได้พยายามที่จะชักจูงนโยบายของรัฐบาลอังกฤษและสหรัฐอเมริกาให้มุ่งไปยังจักรวรรดิออตโตมาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชะตากรรมของปาเลสไตน์ และกลายมาเป็น การประชุมสันติภาพปารีส พวกอาชญากรเดือนพฤศจิกายน (อังกฤษ: November Criminals) หรือ ผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์จากประเทศเยอรมนีที่กำลังอ่อนแอ และสาธารณรัฐไวมาร์ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ซึ่งถูกมองว่าเป็น "ผู้แทงข้างหลัง" จาก แนวหน้าที่บ้าน โดยวิจารณ์ลัทธิชาตินิยมของชาวเยอรมัน หรือไม่ก็ยุยงให้เกิดการจลาจลและการประท้วงหยุดงานในอุตสาหกรรมทางทหารที่สำคัญ หรือ การลักลอบขายสินค้าราคาแพง โดยแนวคิดดังกล่าวมีผู้เชื่อว่าเป็นความจริงจำนวนมาก เพราะว่าหลังจากที่เยอรมนียอมจำนนเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 กองทัพเยอรมันส่วนมากยังคงอยู่ในดินแดนของฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม ไม่เท่านั้น ทางแนวรบด้านตะวันออกก็ได้รับชัยเหนือจักรวรรดิรัสเซีย และมีการบังคับใช้สนธิสัญญาเบรสต์-ลีตอฟสก์ และทางด้านตะวันตก กองทัพเยอรมันก็เกือบจะเอาชนะสงครามได้ในการรุกในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ความล้มเหลวทำให้เกิดการประท้วงในอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธ ทำให้ทหารเยอรมันมียุทธสัมภาระที่ไม่เพียงพอ การประท้วงดังกล่าวได้รับการยุยงจากพวกกบฏ โดยพวกยิวได้รับการตราหน้ามากที่สุด การมองข้ามตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของเยอรมนีทำให้แนวหน้าต้องประสบกับความพ่ายแพ้ในที่สุด

ตำนานแทงข้างหลังได้รับความเห็นเป็นหนึ่งเดียวกันจากพรรคการเมืองตั้งแต่ฝ่ายซ้ายจัดไปจนถึงฝ่ายขวาจัด เนื่องจากเงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซายถูกมองว่า ไม่อาจยอมรับได้

เศรษฐกิจของเยอรมนีภายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอ่อนแอมาก และค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถจ่ายคืนโดยเป็นสกุลเงินของเยอรมนีได้ กระนั้น แม้แต่การจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเพียงน้อยนิดนี้ก็ยังเป็นภาระหนักสำหรับเศรษฐกิจของเยอรมนี โดยส่งผลกระทบกว่าหนึ่งในสามของภาวะเงินเฟ้อในสาธารณรัฐไวมาร์ และส่งผลให้เกิดการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซายหลายครั้ง อย่างเช่น

ในหนังสือ The Economic Consequences of the Peace ของ จอห์น เมย์เนิร์ด เคนส์ ได้กล่าวถึงสนธิสัญญาแวร์ซายไว้ว่าเป็น สันติภาพคาร์เธจ การวิเคราะห์ดังกล่าวได้รับการโต้แย้งจากนักเศรษฐศาสตร์ของกองทัพเสรีฝรั่งเศส ชื่อว่า ?tienne Mantoux ระหว่างช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940 เขาได้เขียนหนังสือชื่อว่า The Carthaginian Peace, or the Economic Consequences of Mr. Keynes ในความพยายามดังกล่าว โดยหนังสือเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว

เมื่อถึงเร็ว ๆ นี้ได้มีการโต้เถียงกัน (จากแนวคิดของเจอร์ฮาร์ด เวนเบิร์ก นักประวัติศาสตร์ ในหนังสือ A World At Arms) ว่า สนธิสัญญาแวร์ซายนั้นในความเป็นจริงแล้ว เอื้อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายเยอรมนีเสียด้วยซ้ำ เพราะว่า Bismarckian Reich ยังคงเป็นหน่วยการเมืองแทนที่จะล่มสลายไป และทำให้เยอรมนีรอดพ้นจากการถูกยึดครองทางทหารครั้งใหญ่ (ซึ่งผิดกับผลที่ตามมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง)

นักประวัติศาสตร์การทหารชาวอังกฤษ คอร์เรลลี บาร์เนตต์ กล่าวว่า สนธิสัญญาแวร์ซาย "เป็นความกรุณาอย่างสูงแล้วเมื่อเปรียบเทียบกับเงื่อนไขแห่งสันติภาพของเยอรมนี เมื่อเยอรมนีปรารถนาที่จะชนะสงคราม และมีจิตใจที่จะบังคับฝ่ายสัมพันธมิตรอยู่แล้ว" นอกเหนือจากนั้น เขายังกล่าวว่า "เป็นการตบหน้าด้วยข้อมือ" เมื่อเปรียบเทียบสนธิสัญญาแวร์ซายกับสนธิสัญญาเบรสต์-ลีตอฟสก์ ซึ่งเยอรมนีบังคับเอาดินแดนจากรัสเซียเมื่อเดือนมีนาคม 1918 คิดเป็นประชากรกว่าหนึ่งในสามของรัสเซีย (นับเฉพาะเชื้อชาติรัสเซียแท้) อุตสาหกรรมกว่าครึ่ง และเหมืองถ่านหินกว่าเก้าในสิบ พร้อมกับค่าปฏิกรรมสงครามกว่าหกพันล้านมาร์ก

บาร์เนตต์ยังบอกอีกว่า เยอรมนีอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าทางยุทธศาสตร์จากสนธิสัญญาแวร์ซาย มากกว่าเมื่อปี ค.ศ. 1914 เสียอีก ในตอนนั้น ชายแดนด้านตะวันออกของเยอรมนีติดกับพรมแดนรัสเซียและออสเตรีย ซึ่งทั้งสองเป็นผู้คานอำนาจของเยอรมนี แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีถูกแบ่งแยก และรัสเซียก็ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติและสงครามกลางเมือง จนประสบความอ่อนแอ และรัฐโปแลนด์ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ก็ไม่มีอำนาจพอที่จะโจมตีเยอรมนีได้เลย

ทางตะวันตก อำนาจเยอรมนีคานกับอำนาจของฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม ทั้งสองมีประชากรน้อยกว่าและมีเศรษฐกิจที่ด้อยกว่า เบอร์เนตต์ได้สรุปว่า แทนที่จะเป็นการทำให้เยอรมนีอ่อนแอ สนธิสัญญาดังกล่าวกลับเป็นการ "ส่งเสริม" อำนาจของเยอรมนี บาร์เนตต์กล่าวว่าอังกฤษและฝรั่งเศสควรจะ "แบ่งแยกและทำให้อ่อนแอตลอดกาล" โดยลบล้างผลงานของบิสมาร์ก และแบ่งแยกเยอรมนีให้เป็นรัฐขนาดเล็กที่อ่อนแอ เพื่อได้รักษาสันติภาพในทวีปยุโรป และเมื่อทำไม่สำเร็จแล้ว มันก็มิได้เป็นการแก้ปัญหาอำนาจของเยอรมนีและฟื้นฟูความสงบของทวีปยุโรป อังกฤษนั้น "ได้ประสบความล้มเหลวในการมีส่วนร่วมมีบทบาทในสงครามอันยิ่งใหญ่"

นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เรย์มอนด์ คาเทียร์ได้ชี้ว่ามีชาวเยอรมันที่อยู่ในซูเตเดนแลนด์ และโปเซน-ปรัสเซียตะวันตก ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมของศัตรู ซึ่งถูกจำกัดและลิดรอนสิทธิอยู่เสมอ เขายืนยันว่ามีชาวเยอรมันกว่า 1,058,000 คนในแคว้นโปเซน-ปรัสเซียตะวันตก ในปี ค.ศ. 1921 และกว่า 758,867 คนได้หลบหนีออกจากโปแลนด์ในเวลาภายในห้าปีหลังจากนี้ ในปี ค.ศ. 1926 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของโปแลนด์ได้ประมาณการว่ามีชาวเยอรมันอาศัยอยู่ในโปแลนด์อยู่ไม่เกิน 300,000 คน ความขัดแย้งทางเชื้อชาติอันรุนแรงเช่นนี้ได้นำไปสู่การเรียกร้องให้มีการผนวกดินแดนในปี ค.ศ. 1938 และฮิตเลอร์ได้ใช้เป็นข้ออ้างในการผนวกเชโกสโลวาเกีย และบางส่วนของโปแลนด์

"2008 School Project History" ได้สำรวจถึงคำถามที่ว่าเยอรมนีที่พรรณนาว่า "ยอมรับผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย" ในตำราเรียนประวัติศาสตร์ของเยอรมนีหลายเล่ม ซึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกว่าผู้แทนเยอรมนีได้ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายอย่างอิสระ มากกว่าที่จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากภายนอก


 

 

รับจำนำรถยนต์ รับจำนำรถจอด

ลีโอ กาเมซ ดัสติน ฮอฟฟ์แมน จักรพรรดินีมารีเยีย อะเลคซันโดรฟนาแห่งรัสเซีย โอลิมปิก 2008 กีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน ครั้งที่ 24 การก่อการกำเริบ 8888 วิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ ยุทธการแห่งบริเตน บีเซนเต เดล โบสเก โคเซ มานวยล์ เรย์นา เคซุส นาบัส คาบี มาร์ตีเนซ เฟร์นันโด โยเรนเต เปโดร โรดรีเกซ เลเดสมา เซร์คีโอ ราโมส ควน มานวยล์ มาตา บิกตอร์ บัลเดส ชูอัน กัปเดบีลา ชาบี ดาบิด บียา อันเดรส อีเนียสตา การ์เลส ปูยอล ราอุล อัลบีออล กัปตัน (ฟุตบอล) อีเกร์ กาซียัส สโมสรฟุตบอลบียาร์เรอัล 2000 Summer Olympics Football at the Summer Olympics Spain national football team Valencia CF S.L. Benfica Sevilla FC Villarreal CF Midfielder Defender (association football) เนวิลล์ ลองบัตท่อม เจ.เค. โรว์ลิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์ (ตัวละคร) บ็อบบี ร็อบสัน สมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงแห่งเบลเยียม แอนดรูว์ จอห์นสัน อิกเนเชียสแห่งโลโยลา เจ. เค. โรว์ลิ่ง เวสลีย์ สไนปส์ ฟิลิปที่ 3 ดยุกแห่งเบอร์กันดี ยอดเขาเคทู สมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Munhwa Broadcasting Corporation โจ อินซุง ควอน ซัง วู ยุน อึนเฮ รักวุ่นวายของเจ้าชายกาแฟ อุซึมากิ คุชินะ มาเอดะ อัตสึโกะ คิม ฮีชอล เจสสิก้า ซิมพ์สัน จาง เซี๊ยะโหย่ว พิภพ ธงไชย วิมล ศิริไพบูลย์ มหาธีร์ โมฮัมหมัด บอริส เยลซิน ออกแลนด์ เรนโบว์วอริเออร์ ฝ่ายพันธมิตร เด่น จุลพันธ์ เคอิทาโร โฮชิโน แมนนี่ เมลชอร์ ผู้ฝึกสอน ไมเคิล โดมิงโก ก. สุรางคนางค์ นิโคล เทริโอ ซีเนอดีน ซีดาน เริ่น เสียนฉี โจเซฟีน เดอ โบอาร์เนส์ โอดะ โนบุนากะ แยกราชประสงค์ แคชเมียร์ วีโต้ แอฟริกัน-อเมริกัน Rolling Stone People (magazine) TV Guide อินสตาแกรม Obi-Wan Kenobi Saturday Night Live The Lego Movie Jurassic World Guardians of the Galaxy (film) Her (film) แอนนา ฟาริส จอมโจรอัจฉริยะ จอมโจรคิด ตัวละครในฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน ตัวละครในฮายาเตะ พ่อบ้านประจัญบาน ลุยจี กอนซากา ครีษมายัน เจริญ วัดอักษร อลิซ บราวน์ อินิโก โจนส์ กาแอล กากูตา

 

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
119
120
121
122
123
124
125
126
127
128
129
130
131
132
133
134
135
136
137
138
139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
150
151
152
153
154
155
156
157
158
159
160
161
162
163
164
165
166
167
168
169
170
171
172
173
174
175
176
177
178
179
180
181
182
183
184
185
186
187
188
189
190
191
192
193
194
195
196
197
198
199
200
201
202
203
204
205
206
207
208
209
210
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
230
231
232
เลขมงคล รถยนต์ ทะเบียน ทะเบียนรถ เงินด่วน รับจำนำรถยนต์ จำนำรถยนต์ จำนำรถ 23180